วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

Cache memory คืออะไร

           cache memory เป็นหน่วยความจำแบบ Random Access ซึ่ง ไมโครโพรเซสเซอร์สามารถเข้าถึงได้เร็วกว่าการเข้าถึง RAM ปกติ ในการประมวลผลข้อมูลไมโครโพรเซสเซอร์ จะมองหาข้อมูลใน cache memory ก่อนเพื่อทำให้การประมวลผลเร็วขึ้น 

          cache memory ในบางครั้งมีการอธิบายว่าเป็นระดับที่ใกล้และเข้าถึงได้ง่าย โดยไมโครโพรเซสเซอร์ ในส่วน L1 และ L2 cache อยู่บนไมโครโพรเซสเซอร์ โดย L1 และ L2 มักจะเป็น static RAM (SRAM) โดย RAM หลักเป็น dynamic RAM (DRAM) โดย SRAM จะไม่มีการ refresh ตัวเองเหมือน DRAM และมีราคาแพงกว่า สำหรับขนาดที่นิยมของ SRAM คือ 1048 kilobyte (1KB) ส่วน DRAM มีขนาดตั้งแต่ 4 megabytes จนถึง 32 megabytes 

          สำหรับ RAM อาจจะมองในฐานะที่เป็น cache ของหน่วยความจำสำหรับฮาร์ดดิสก์ เพราะข้อมูลใน RAM เป็นการเรียกจากฮาร์ดดิสก์รวมถึงระบบปฏิบัติการและโปรแกรมต่าง ๆ RAM สามารถเก็บพื้นที่พิเศษที่เรียกว่า disk cache ซึ่งเก็บข้อมูลที่เพิ่งเรียกใช้จากฮาร์ดดิสก์

SRAM คืออะไร

          SRAM (static RAM) เป็นหน่วยความจำชั่วคราวที่รักษาบิตข้อมูลในหน่วยความจำ ตราบที่ยังมีพลังงานจ่ายให้ ซึ่งแตกต่างจาก dynamic RAM (DRAM) ที่เก็บบิตในเซลล์ที่ประกอบด้วยคาปาซิเตอร์ และตัวต้านทาน SRAM จะไม่มีการ refresh เป็นระยะ ๆ SRAM ให้การเข้าเก็บข้อมูลเร็วกว่าและแพงกว่า DRAM และ SRAM จะใช้เป็น cache memory ของคอมพิวเตอร์ และเป็นส่วนของ random access memory digital-to-analog converter (RAMDAC) บนการ์ดวิดีโอ

DRAM คืออะไร

          Dynamic random access memory (DRAM) เป็นหน่วยความจำชั่วคราว (RAM) ที่ใช้โดยทั่วไปสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเวิร์กสเตชัน หน่วยความจำเป็น เครือข่ายของการชาร์จไฟฟ้าที่จุดซึ่งเป็นที่เก็บของคอมพิวเตอร์ โดยมีการเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็วในรูปแบบ 0 และ 1 random access มีความหมายว่าโพรเซสเซอร์ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล สามารถเข้าถึงส่วนต่าง ๆ ของหน่วยความจำ หรือที่เก็บข้อมูลโดยตรงแทนที่การเข้าถึงแบบอนุกรมจากจุดเริ่มต้น DRAM แตกต่างจาก Static RAM (SRAM) โดย DRAM ต้องการให้เซลล์มีการ refresh หรือให้มีการชาร์จไฟฟ้าใหม่ ในช่วงเวลาที่เป็น milliseconds ในขณะที่ Static RAM ไม่จำเป็นต้อง refresh เพราะการทำงานอยู่บนหลักการของการย้ายกระแส เมื่อมีการสับเปลี่ยนในหนึ่งของสองทิศทางแทนการชาร์จประจุของเซลล์ Static RAM โดยทั่วไปใช้สำหรับ cache memory ซึ่งเข้าถึงได้เร็วกว่า DRAM
          DRAM เก็บแต่ละบิตในเซลล์ที่ประกอบด้วยคาปาซิเตอร์ และตัวต้านทาน โดยคาปาซิเตอร์ มีแนวโน้ม สูญเสียการชาร์จ อย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงต้องการให้ชาร์จใหม่ RAM ยังมีอีกหลายประเภท เช่น extended data output RAM (EDO RAM) และ synchronous dynamic random access memory (SDRAM)

Boot คืออะไร

         Boot หรือการบู๊ตเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นการโหลดระบบปฏิบัติการเข้าสู่หน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์ หรือหน่วยความจำชั่วคราว (RAM) เมื่อมีการโหลดระบบปฏิบัติการ (บนเครื่องคอมพิวเตอร์จะเห็นการเริ่ม Windows หรือ Mac บนจอภาพ) แสดงว่าพร้อมให้ผู้ใช้เรียกใช้โปรแกรมประยุกต์ บางครั้งจะพบคำสั่ง "reboot" ในระบบปฏิบัติการ ซึ่งมีความหมายว่ามีการโหลดระบบปฏิบัติการใหม่ (การใช้คำสั่งนี้ที่คุ้นเคยกัน ให้กดปุ่ม (Alt, Ctrl และ Delete พร้อมกัน)
          ในคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ (รวมถึงเครื่องเมนเฟรม) มีคำที่เทียบได้กับ "boot" คือ "Initial Program Load (IPL)" และสำหรับ "reboot" คือ "re-IPL" นอกจากที่ boot สามารถใช้เป็นคำนามเหมือนกับ การบู๊ตระบบ (system boot) คำนี้มีที่มาจากคำว่า "bootstrap " ซึ่งหมายถึงหว่งหนังขนาดเล็กด้านหลังของรองเท้าบู๊ตที่ให้ดึง เพื่อดึงรองเท้าขึ้น การบู๊ตระบบปฏิบัติการโดยการโหลดโปรแกรมขนาดเล็กเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ และให้โปรแกรมควบคุมการโหลดระบบปฏิบัติการต่อไป
           การบู๊ต หรือโหลดระบบปฏิบัติการมีความแตกต่างกันมากกว่าการติดตั้ง ซึ่งการกระทำเพียงครั้งเดียว เมื่อมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการ จะมีขึ้นตอนในการเลือกวิธีการคอนฟิก เมื่อสิ้นสุดการติดตั้งระบบปฏิบัติการบนฮาร์ดดิสก์พร้อมที่จะบู๊ต (โหลด) เข้าสู่หน่วยความจำชั่วคราว ซึ่งเป็นที่เก็บที่ใกล้กับไมโครโพรเซสเซอร์ และทำงานเร็วกว่าฮาร์ดดิสก์ โดยปกติ ภายหลักการติดตั้งระบบปฏิบัติการแล้วเปิดเครื่องใหม่ ระบบปฏิบัติการจะบู๊ตอย่างอัตโนมัติ ถ้าการใช้งานมีปัญหาหน่วยความจำไม่พอ หรือระบบปฏิบัติการ หรือโปรแกรมประยุกต์มีความผิดพลาด จะมีข้อความแสดงความผิดพลาดหรือจอภาพอยู่นิ่ง ในกรณีเหล่านี้จำเป็นต้อง "reboot " ระบบปฏิบัติการ
 
ขั้นตอนการ Boot
          หมายเหตุ ขึ้นตอนเหล่านี้อาจจะแตกต่างจาก MAC, UNIX, OS/2 หรือ ระบบปฏิบัติการอื่น ๆ เมื่อมีการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติจะได้รับการตั้งค่าในการบู๊ต (โหลดไปที่ RAM) โดยอัตโนมัติ ตามขึ้นตอนต่อไปนี้
           1. เมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ BIOS (Basic Input/Output System) ที่อยู่บนชิป ROM (read-only menoy) จะ"ถูกปลุก" และทำงาน โดย BIOS จะพร้อมในการโหลด เพราะว่าอยู่ชิป ROM ซึ่งต่างจาก RAM เนื่องจากข้อมูลใน ROM ไม่มีการลบเมื่อมีการปิดเครื่อง
           2. BIOS ในขึ้นตอนที่ 1 จะทำการตรวจสอบ แบบ power-on self test (POST) เพื่อทำให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ทั้งหมดทำงานได้ จากนั้นโปรกแกรมบู๊ตของ BIOS จะมองหาโปรแกรมบู๊ตพิเศษที่ทำหน้าที่โหลดระบบปฏิบัติการไปที่ ฮาร์ดดิสก์
           3. ขั้นแรก มองหาในไดรฟ์ A เป็นสถานที่ที่ระบุที่เก็บไฟล์บู๊ตของระบบปฏิบัติการ (ถ้าระบบปฏิบัติการเป็น MS-DOS จะหาไฟล์ 2 ไฟล์ ชื่อ IO.SYS แลt MSDOS.SYS) ถ้ามีดิสก์ในไดรฟ์ A แต่ไม่ใช้แผ่น system สำหรับการใช้งาน BIOS จะส่งข้อความบอกว่าไดรฟ์ A ไม่มีแผ่น system ถ้าไดรฟ์ A ไม่มีดิสก์ BIOS จะมองหาไฟล์ system จากตำแหน่งที่ระบุในฮาร์ดดิสก์
           4. เมื่อระบุไดรฟ์ที่เก็บไฟล์บู๊ตแล้ว BIOS จะมองต่อไปที่ sector แรก (พื้นที่ 512-byte) และสำเนาสารสนเทศจากตัว BIOS ไปยังตำแหน่งที่ระบุใน RAM สารสนเทศนี้เรียกว่า boot record หรือ Mastor Boot Record
           5. จากนั้นจะโหลด boot record ไปที่ตำหน่งที่ระบุใน RAM (address 7C00)
           6. boot record เก็บโปรแกรมที่ BIOS ส่งให้เพื่อให้ boot record ควบคุมคอมพิวเตอร์ต่อไป
           7. boot record จะโหลดไฟล์เริ่มต้น (เช่น ระบบ DOS คือ IO.SYS) ไปที่ RAM จากดิสก์หรือฮาร์ดดิสก์
           8. ไฟล์เริ่มต้น (เช่น IO.SYS ซึ่งรวมถึงโปรแกรม SYSINIT) จะโหลดส่วนที่เหลือของระบบปฏิบัติการไปที่ RAM (จากจุดนี้ boot record ไม่มีความจำเป็นแล้ว และสามารถแทนที่ด้วยข้อมูลอื่น)
           9. ไฟล์เริ่มต้น (เช่น SYSINIT) จะโหลดไฟล์ระบบ (เช่น MSDOS.SYS) ซึ่งสามารถทำงานกับ BIOS ได้
         10. ไฟล์ของระบบปฏิบัติการ ไฟล์หนึ่งที่โหลดเข้ามาเป็นชุดแรก คือ ไฟล์คอนฟิกระบบ (สำหรับ DOS เรียกว่า CONFIG.SYS) สารสนเทศในไฟล์คอนฟิกจะบอกให ้โหลดโปรแกรมที่เจาะจงในชุดไฟล์ ของระบบปฏิบัติการที่จำเป็นต้องโหลด (เช่น ไฟล์ driver ของอุปกรณ์)
         11. ไฟล์พิเศษอีกไฟล์ที่ทำหน้าที่บอกถึงโปรแกรมประยุกต ์หรือคำสั่งที่ผู้ใช้ต้องการใช้ ที่รวมอยู่ขั้นตอนการบู๊ตใน DOS เรียกไฟล์ที่ว่า AUTOEXEC.BAT ใน Windows เรียกว่า WIN.INI
         12. หลังจากไฟล์ทั้งหมดระบบปฏิบัติการได้รับการโหลดแล้ว ระบบปฏิบัติการจะทำหน้าที่ควบคุมคอมพิวเตอร์ และทำงานตามการขอเริ่มต้น จากนั้นจะรอคำสั่งจากผู้ใช้

Closed architecture คืออะไร

          สถาปัตยกรรมแบบปิด, การออกแบบที่ไม่ให้ผู้ใช้เพิ่มเติมได้อย่างง่ายดาย มักจะพูดถึงคอมพิวเตอร์แมคอินทอชสมัยก่อนๆ ที่ไม่ได้ให้มีการเพิ่มเติมระบบด้วยแผ่นวงจรเพิ่มได้อย่างง่ายเลย, คอมพิวเตอร์ที่ออกมาแล้วไม่ได้มีการเผยแพร่หรือบอกกล่าวรายละเอียดภายในที่ทำให้บริษัทคอมพิวเตอร์รายอื่นๆ จัดหาผลิตภัณฑ์ที่มาทำงานกับคอมพิวเตอร์ดังกล่าวได้ จึงต้องใช้อุปกรณ์ประกอบที่ทำมาจากบริษัทเดียวกัน ซึ่งมักจะมีราคาแพงเพราะมีการผลิตน้อยและไม่มีการแข่งขัน

Architecture คืออะไร

          ในเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์และเครือข่าย สถาปัตยากรรม (architecture) เป็นคำที่ประยุกต์ทั้งกระบวนการและผลลัพธ์ของการคิดและการระบุโครงสร้างทั้ง หมด ส่วนประกอบทางตรรกะ และความสัมพันธ์ภายในทางตรรกะของคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการ เครือข่าย หรือแนวคิดอื่น สถาปัตยกรรมสามารถเป็นแบบจำลองอ้างอิง เช่น แบบจำลองอ้างอิง Open Systems Interconnection (OSI) รวมถึง แบบจำลองสำหรับสถาปัตยกรรมสินค้าเฉพาะหรือสามารถเป็นสถาปัตยกรรมสินค้าเฉพาะ เช่น สำหรับไมโครโพรเซสเซอร์ Intel Pentium หรือสำหรับระบบปฏิบัติการ OS/390 ของ IBM

          สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นห้าส่วนประกอบพื้นฐานคือ นำเข้า/ส่งออก (input/output), การจัดเก็บ, การสื่อสาร, การควบคุม และการประมวลผล ในทางปฏิบัติ แต่ส่วนของส่วนประกอบนี้ (บางครั้งเรียกว่า ระบบย่อย) บางครั้งถูกกล่าวว่ามีสถาปัตยกรรม ตามปกติ ให้บริบทในการใช้และความหมาย

          โดยการเปรียบเทียบ คำว่า ออกแบบ คิดถึงความหมายโดยนัยว่ามีขอบเขต (scope) น้อยกว่าสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมคือ การออกแบบ แต่การออกแบบส่วนมากไม่ใช่สถาปัตยกรรม หนึ่ง component หรือฟังก์ชันใหม่มีการออกแบบที่พอดีภายในสถาปัตยกรรมโดยรวม

          คำคล้ายกัน framework สามารถคิดถึงส่วนโครงสร้างของสถาปัตยกรรม

DSS คืออะไร

          DSS (Decision support system) เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประยุกต์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล และนำเสนอเพื่อให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจทางธุรกิจง่ายขึ้น สิ่งนี้เป็น สารสนเทศประยุกต์ (ซึ่งต้องแยกจากการปฏิบัติประยุกต์ที่รวบรวมข้อมูลของการปฏิบัติงานปกติ) แบบแผนของสารสนเทศ ที่เป็นการประยุกต์สนับสนุนการตัดสินใจ ซึ่งต้องรวมรวมและนำเสนอ คือ

           - การเปรียบเทียบการขายระหว่างสัปดาห์ 
           - การคาดการณ์รายรับ ตามข้อสมมติของการขายผลิตภัณฑ์ใหม่ 
           - ผลต่อเนื่องจากทางเลือกในการตัดสินใจต่าง ๆ โดยประสบการณ์ในอดีตเป็นแนวในการอธิบาย Decision support system อาจจะเสนอสารสนเทศเชิงภูมิศาสตร์ และอาจจะรวมถึงระบบผู้เชี่ยวชาญ (Export system) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) โดยมีจุดมุ่งหมายสำหรับผู้บริหารธุรกิจ หรือกลุ่มพนักงานที่มีระดับความรู้

End user คืออะไร

                ผู้ใช้ท้ายสุด, ผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์หรือโปรแกรมที่ผู้อื่นออกแบบมาให้ ผู้ใช้ท้ายสุดนี้รับผลลัพธ์มาจากคอมพิวเตอร์และนำมาใช้งาน ในยุคที่ใช้เมนเฟรมนั้นผู้ใช้ประเภทนี้ไม่เคยเห็นคอมพิวเตอร์เลย และเรียนรู้ที่จะใช้งานด้วยตัวเองน้อยมาก
 
                ปัจจุบันคำนี้หมายถึง ผู้ที่ใช้โปรแกรมหรือระบบงานเพื่อสร้างผลลัพธ์ของเขาเอง ผู้ใช้ท้ายสุดในทุกวันนี้มักจะเขียนแมโครเพื่อจัดการงานที่ซับซ้อนและซ้ำซากได้เอง รวมถึงเขียนโพรซีเยอร์โดยใช้ภาษาคำสั่งเองด้วย
 
                ผู้ใช้สุดท้ายยังหมายถึง ผู้ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปที่มีให้ใช้ คือ อยู่ในฐานะผู้ใช้แต่อย่างเดียว เช่น ใช้งานพิมพ์เอกสาร ตารางคำถาม การนำเสนอผลงาน การใช้โปรแกรมสืบถาม ส่งข้อความระหว่างกัน

Front end คืออะไร

                 โปรแกรมหรือคอมพิวเตอร์ที่ซ่อนรายละเอียดเกี่ยวกับโปรแกรมหรือคอมพิวเตอร์อื่นเอาไว้ จากแนวคิดดังกล่าวสรุปได้ว่า โปรแกรมทุกโปรแกรมเป็น Front end ที่กันผู้ใช้ไม่ให้รู้รายละเอียดการทำงานที่ซับซ้อนของคอมพิวเตอร์ว่าเป็นอย่างไร โดยส่วนใหญ่แล้วตัว Front end จะทำให้การใช้คอมพิวเตอร์ง่ายกว่าโปรแกรมส่วนมาก เช่น ประเภทที่ใช้เป็นตัวเชื่อมไปยังเครื่องเมนเฟรม

วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2557

DCOM คืออะไร

Distributed Component Object Model (DCOM) เป็นกลุ่มของแนวคิด และโปรแกรมอินเตอร์เฟซของ Microsoft ซึ่งโปรแกรมอ๊อบเจค client สามารถขอบริการจากโปรแกรมอ๊อบเจค server บนคอมพิวเตอร์อื่นในเครือข่าย DCOM มีพื้นฐานจาก Component Object Model ที่ให้กลุ่มของอินเตอร์เฟซยินยอมให้ client และ server ในการติดต่อสื่อสารภายในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกัน(ใช้ใน Windows 95 หรือ เวอร์ชันต่อมา)

          ตัวอย่าง การสร้างเพจสำหรับ web site ที่เก็บสคริปต์ หรือโปรแกรมที่สามารถได้รับการประมล (ก่อนส่งไปยังผู้ขอ) ไม่ใช่บนเครื่องแม่ข่าย web site แต่เป็นแม่ข่ายเครื่องอื่นในเครือข่าย การใช้อินเตอร์เฟซของ DCOM ทำให้โปรแกรมบนเครื่องแม่ข่ายของ web site (ปัจจุบันมีฐานะเป็นอ๊อบเจค client) สามารถส่งผ่าน remote procedure call (RPC) ไปยังอ๊อบเจค server ที่ระบุ ที่ให้การประมวลที่จำเป็นและส่งกลับผลลัพภ์บน web server site โดยส่งผลลัพธ์ไปที่ web page viewer

          DCOM สามารถทำงานบนเครือข่ายภายในบริษัท หรือบนเครือข่ายอื่นของอินเตอร์เน็ตสาธารณะ โดยการใช้ TCP/IP และ Hypertext Transfer Protocol โดย DCOM ได้มาเป็นส่วนหนึ่ง NT 40 และอัพเกรดฟรี สำหรับ Windows 95 นอกจากนี้ DCOM กำลังจะมีให้ใช้ในระบบ UNIX ส่วนใหญ่ และผลิตภัณฑ์แม่ข่ายขนาดใหญ่บนเครื่อง IBM ซึ่ง DCOM ได้แทนที่ OLE Remote Automation

          DCOM สามารถเทียบได้กับ Common Object Request Broker Architecture (CORBA) ในลักษณะการให้กลุ่มของการบริการแบบกระจาย DCOM เป็นวิธีการของ Microsoft ที่ใช้ในสภาพแวดล้อมเครือข่ายทางไกล สำหรับโปรแกรมและอ๊อบเจคข้อมูล CORBA ได้รับการสนับสนุนโดยอุตสาหกรรมสารสนเทศที่เหลือภายใต้การอุปถัมภ์ของ object management group

Compiler คืออะไร

          compiler เป็นโปรแกรมเฉพาะที่ประมวลผลคำสั่งที่เขียนด้วยภาษาโปรแกรมเฉพาะให้เป็นภาษา เครื่อง หรือ code ที่โพรเซสเซอร์ของคอมพิวเตอร์ใช้ โดยปกติผู้เขียนโปรแกรมใช้ editor ในการเขียนคำสั่งของภาษาโปรแกรม ไฟล์ที่สร้างขึ้นประกอบด้วยสิ่งที่เรียกว่า statement แล้วนำไปประมวลผล ด้วย compiler ของภาษานั้น 

          ในการประมวลผล (execute) compiler จะทำการวิเคราะห์ คำสั่งที่เขียนตั้งแต่ ไวยากรณ์ของภาษา ลำดับขั้น การสร้างผลลัพธ์ เพื่อทำให้มั่นใจการอ้างอิงของคำสั่ง ถ้าได้ถูกต้องในรหัสขั้นสุดท้าย ตามแบบแผนผลลัพธ์ของการคอมไพล์ เรียกว่า object code หรือบางครั้งเรียกว่า object module (หมายเหตุ object ในที่นี้ ไม่เกี่ยวข้องกับโปรแกรม object -oriented programming) โดย object code เป็นภาษาเครื่อง ที่โพรเซสเซอร์สามารถประมวลผล หรือ execute 1คำสั่งในแต่ละครั้ง ในช่วงเวลาปัจจุบัน ภาษาโปรแกรม Java เป็นภาษาที่ใช้แบบ object - oriented programming ได้แนะนำความเป็นไปได้ ในการคอมไพล์ผลลัพธ์ (เรียกว่า bytecode )ที่ สามารถทำงานกับแพล็ตฟอร์มต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ ด้วย Java virtual machine หรือ ตัวแปล bytecode ที่ให้แปลง bytecode เป็นคำสั่งที่สามารถประมวลผลโดยโพรเซสเซอร์ การใช้ virtual machine เป็นการทำให้ bytecode มีทางเลือกในการคอมไพล์ใหม่ตามลักษณะแพล็ตฟอร์มด้วย just -in-time compiler ตามแบบแผนของบางระบบปฏิบัติการ ต้องการขั้นตอนเพิ่มหลังจากคอมไพล์ เพื่อแก้ไขตำแหน่งแบบสัมพัทธ์ของคำสั่ง และข้อมูล เมื่อโมดูลของอ๊อบเจคมากกว่าหนึ่ง สามารถทำงานในเวลาที่พร้อมกัน และใช้การอ้างอิงข้ามไปแต่ละคำสั่งตามลำดับหรือข้อมูล กระบวนการนี้ บางครั้งเรียกว่า linkage editing และผลลัพธ์เรียกว่า load module

          compiler ทำงานกับสิ่งที่เรียกว่า 3GL ส่วนภาษาระดับสูง assembler ทำงานบนโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษา assembler ของโพรเซสเซอร์

Bug คืออะไร

          Bug (ภาษาไทย: บั๊ก) หรือ จุดบกพร่อง หมายถึง ปัญหาที่เกิดขึ้นกับโปรแกรมอัน เนื่องมาจากคำสั่งในโปรแกรมนั้น ๆ เอง ซึ่งทำให้การทำงานของโปรแกรมไม่ถูกต้อง มีข้อผิดพลาด หรือไม่ราบรื่นเท่าที่ควร นอกจากปัญหาเกี่ยวกับโปรแกรมแล้ว อาจเป็นปัญหาเกี่ยวกับตัวเครื่องก็ได้
          ในเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ bug เป็นความผิดพลาดการเขียนคำสั่งในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (โปรแกรมนี้รวมถึง คำสั่งย่อย (microcode) ที่ได้รับการติดในไมโครโพรเซสเซอร์) กระบวนการค้นหา bug ก่อนผู้ใช้โปรแกรมทำได้รับการเรียกว่า debugging การเริ่มต้นของ debugging หลังจากคำสั่งนี้เป็นการเขียนครั้งแรกและต่อเนื่องในขั้นตอนที่คำสั่งได้รับ การรวมกับหน่วยอื่นของโปรแกรมเพื่อก่อตัวเป็นผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ เช่น ระบบปฏิบัติการ หรือโปรแกรมประยุกต์ หลังจากผลิตภัณฑ์ได้รับการเผยแพร่หรือกระจายระหว่าง beta test ต่อสาธารณะ bug ยังคงพบได้ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ผู้ใช้ต้องทั้งค้นหาเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้คำสั่ง “buggy” หรือดึงแผ่นปะจากจุดเริ่มต้นของคำสั่ง
           ถึงแม้ว่า ตามปกติ bug เป็นสาเหตุสร้างความรำคาญในคอมพิวเตอร์ แต่ผลกระทบสามารถสร้างผลรุนแรง บทความของ Wired News เกี่ยวกับ 10 bug ของซอฟต์แวร์ที่เลวร้ายในประวัติศาสตร์ รายงานว่า bug เป็นสาเหตุการระเบิด ทำให้ยานอวกาศเสียหาย และเป็นเหตุของการตาย ในปี 1982 (2525) ตัวอย่างระบบควบคุมท่อก๊าซข้ามไซบีเรียเป็นสาเหตุให้การระเบิดที่ไม่ใช่ นิวเคลียร์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ระหว่างปี 1985 (2528) ถึง 1987 (2530) bug ในอุปกรณ์การบำบัดแผ่รังสี เรียกว่า race condition เป็นผลลัพธ์ในการส่งมอบการแผ่รังสีมากเกินไป สังหารประชาชนห้าคนและบาดเจ็บจำนวนมาก ในปี 2005 (2548) โตโยต้าเรียกรถยนต์ 160,000 คัน (รุ่น Prius) เพราะ bug เป็นสาเหตุไฟฟ้าเตือนติดและเครื่องยนต์ค้างโดยไม่มีเหตุผล
           Bug ไม่เป็นเพียงชนิดของปัญหาที่โปรแกรมมี โปรแกรมสามารถเรียกใช้ปราศจาก bug และยังคงลำบากในการใช้หรือล้มเหลวในบางวัตถุประสงค์ ชนิดของการไหลนี้ลำบากต่อการทดสอบสำหรับ (และมักจะไม่ง่าย) โดยทั่วไปเห็นด้วยกับโปรแกรมออกแบบดีที่พัฒนาด้วยการใช้กระบวนการควบคุมดีจะ เป็นผลลัพธ์ในทำให้ bug ต่อ 1000 บรรทัดคำสั่งน้อยลง
           จุดเริ่มต้นคำนี้ มาจากผู้เขียนโปรแกรมรุ่นบุกเบิก Grace Hopper ในปี 1944 (2487) Hopper เป็นเจ้าหน้าที่กองทัพเรือหนุ่มไปทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ Mark I ที่ Harvard ที่กลายเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่เขียนโปรแกรมนั้น พลเรือเอก Hopper เธออธิบายเหตุการณ์ซึ่งนักเทคนิคกล่าวถึงการดึงแมลง (มอท) จากรีเลย์ไฟฟ้าสองตัวในเครื่องคอมพิวเตอร์ Mark II ใน The New Hacker's Dictionary หนังสือของเขา Eric Raymond รายงานว่า มอท ได้รับการแสดงนานหลายปีโดยกองทัพเรือ และเป็นสมบัติของ Smithsonian นอกจากนี้ Raymond บันทึกว่า พลเรือเอก Hopper ระวังคำนี้ เมื่อเธอเล่าเรื่อง มอท คำนี้ได้รับการใช้ก่อนคอมพิวเตอร์ปัจจุบันหมายถึงจุดบกพร่องทางอุตสาหกรรม หรือไฟฟ้า
           คำนี้ใช้น้อยมากกับปัญหาฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์

Panel คืออะไร

ในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ panel เป็นการนำเสนอสารสนเทศที่ตัองการให้ปรากฎบน จอภาพของผู้ใช้ ตามปกติ เมื่อมัการออกแบบโปรแกรม จะมีการกำหนดลักษณะการติดต่อกับผู้ใช้ โดยพิจารณาสารสนเทศ ของแต่ละขั้นตอนในการใช้โปรแกรม ตัวอย่างเช่น แต่ละเมนู, help page หรือรูปแบบอื่น ของเนื้อหาที่ประกอบเป็น panel ของสารสนเทศที่จะมีทดลองโดยผู้พัฒนาโปรแกรมและทดสอบ โดยผู้ใช้เนื่องจากโปรแกรมประยุกต์ส่วนมาก มีการพัฒนาตามการอ่านอินเตอร์เฟซ แบบ graphical user interface ของระบบปฏิบัติ ส่วนประเหล่านี้ สามารถสมมติให้เป็นการกำหนด panel อย่างเจาะจง โดยทั่วไป การอินเตอร์เฟซของ Windows panel จะได้รับการออกแบบสำหรับสารสนเทศ ของแต่ละ Windows

Full screen คืออะไร

เต็มจอภาพ, การปรับขนาดหน้าต่างโปรแกรมที่กำลังใช้งานอยู่ให้เต็มหน้าจอที่เรากำลังใช้โปรแกรมนั้นอยู่
 
                ความสามารถในการป้อนตัวอักขระที่ใดก็ได้ทั้งจอภาพซึ่งมีให้ขณะใช้งานคอมพิวเตอร์ เทอร์มินัลแบบเต็มจอภาพแสดงข้อมูลต่างๆ โดยใช้จอภาพแบบเต็มทั้งหมด เอดิเตอร์แบบเต็มจอภาพจะให้เราป้อนอะไรก็ตามได้เต็มจอ

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

Downloading คืออะไร

          Downloading เป็นการส่งผ่านไฟล์จากระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นระบบคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก จากมุมมองของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต การดาวน์โหลดไฟล์ เป็นการขอจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง (หรือจากเว็บเพจบนเครื่องคอมพิวเตอร์อีกเครื่อง) และรับไฟล์นั้น uploading เป็นการส่งผ่านในอีกทิศทางจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง โดยปกติจากคอมพิวเตอร์เครื่องเล็กไปอีกเครื่องหนึ่ง จากมุมของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต การอัพโหลดเป็นการส่งไฟล์ไปที่คอมพิวเตอร์ที่ตั้งค่าให้รับ การใช้ภาพร่วมกับบุคคลอื่น bulletin board โดยการอัพโหลดไฟล์ไปที่ BBS (bulletin board system )

          File Transfer Protocol (FTP) เป็น Internet Protocol สำหรับการดาวน์โหลด และอัพโหลดไฟล์ และจำนวนของโปรแกรมประยุกต์พิเศษ ที่สามารถใช้ FTP (อย่างไรก็ตาม การ download บนเว็บเพจ คำขอ FTP ได้รับการตั้งค่าโดยเว็บเพจ ซึ่งมีการถามถึงที่เก็บไฟล์จากการ download บนฮาร์ดดิสก์ จากนั้นการส่งผ่านโดยการ download จะเกิดขึ้น

          เมื่อมีการส่งไฟล์ติดมากับ e-mail จะเป็น attachment ไม่ใช่การดาวน์โหลด และอัพโหลดไฟล์ ในทางปฏิบัติบุคคลทั่วไปใช้ "download" และ "upload " กับการเปิดไฟล์ attachment ที่มากับ e-mail เป็นการใช้ผิดความหมาย

          โดยทั่วไป จากเครื่องเวิร์กสเตชัน หรือคอมพิวเตอร์ในมุมมองของผู้ใช้ การดาวน์โหลดเป็นการรับไฟล์ และอัพโหลด เป็นการส่งไฟล์

Internet คืออะไร

internet เป็นระบบ Worldwide ของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ มีจุดกำเนิดจากแนวคิดของ Advanced Research Project Agency (ARPA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐในปี 1969 โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อก่อตั้งเครือข่ายที่ให้ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้วิจัยของมหาวิทยาลัยหนึ่ง สามารถติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้วิจัยของมหาวิทยาลัยอื่น ผลจากการออกแบบของ ARPA net ทำให้ข้อความสามารถส่งเส้นทางหรือเปลี่ยนทางใหม่ได้มากกว่า 1 ทิศทาง และเครือข่ายยังสามารถทำงานได้ ถึงแม้ว่าจะมีบางส่วนถูกทำลายไปทั้งจากทางด้านทหาร หรือภัยธรรมชาติ
ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตเป็นระบบสาธารณะ ที่รองรับการใช้งานอย่างกว้างขวาง ในด้านกายภาค อินเตอร์เน็ตใช้ช่องทางการติดต่อผ่านระบบเครือข่ายโทรคมนาคม ในทางเทคนิคอินเตอร์เน็ตใช้กลุ่มของโปรโตคอลเรียกว่า TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) โดยมีการปรับปรุงเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตไปใช้แบบ Intranet และ Extranet ซึ่งยังคงใช้ โปรโตคอลของ TCP/IP
การใช้งานอินเตอร์เน็ตในส่วนของ e-mail ได้รับการใช้อย่างกว้างขวางแทนที่การส่งจดหมายด้วยการเขียน นอกจากนี้ยังสามารถ "สนทนา" กับคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นผ่าน Internet Relay Chat รวมถึงเทคโนโลยี "Internet Telephony" ที่สามารถสนทนาโดยตรง ส่วนที่มีการใช้อย่างกว้างขวางของอินเตอร์เน็ตคือ World Wide Web (www) มีส่วนที่โดดเด่นคือ hypertext ซึ่งเป็นวิธีการในการอ้างอิงแบบทันที ในเว็บส่วนใหญ่จะกำหนดข้อความของ Hypertext ให้แตกต่างด้วยชนิดตัวอักษร สี แต่ที่นิยมมากคือการตีเส้นใต้ เมื่อเลือกข้อความนั้นแล้ว จะมีการส่งข้อมูลจากเว็บหรือเพ็จที่เชื่อมต่อกับข้อความมาให้ ในบางครั้งปุ่มหรือภาพ สามารถคลิกได้เช่นกัน โดยสังเกตที่เมาส์ถ้ามีการเปลี่ยนเป็นรูปมือ แสดงว่าตำแหน่งหรือข้อความดังกล่าว สามารถเชื่อมต่อกับเว็บหรือเพ็จได้
การเข้าถึงเว็บทำได้โดยการใช้ web browser ซึ่งที่ได้รับความนิยมคือ Netscape Navigator และ Microsoft Internet Explorer

HTTP คืออะไร

Hypertext Transfer Protocol (HTTP) เป็นกลุ่มของกฎสำหรับการแลกเปลี่ยนไฟล์ (เช่น ข้อความ ภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว และไฟล์มัลติมีเดียต่าง ๆ) บน World Wide Web ที่สัมผัสกับชุดโปรโตคอลแบบ TCP/IP (ซึ่งทำหน้าที่แลกเปลี่ยนสารสนเทศบนอินเตอร์เน็ต) โดย HTTP เป็นโปรโตคอลแบบประยุกต์ แนวคิดสำคัญของ HTTP คือไฟล์ต่าง ๆ สามารถเก็บการอ้างอิงไฟล์อื่น เพื่อเรียกหรือดึงไฟล์ที่ต้องการ ใน Web server ที่มีไฟล์ HTML และไฟล์อื่นที่เรียกว่า HTTP daemon ซึ่งเป็นโปรแกรมได้รับการออกแบบให้คอยรับและรักษาการขอ HTTP เมื่อการขอของ HTTP นั้นมาถึง ใน web browser ของเครื่องคอมพิวเตอร์ผู้ใช้จะเป็น HTTP client เพื่อส่งการขอไปยังเครื่องแม่ข่ายเมื่อมีการเรียกไฟล์จาก browser ของผู้ใช้ โดยเปิดไฟล์ของเว็บ (ด้วยการพิมพ์ชื่อ URL) หรือคลิกที่ Hypertext link จากนั้น browser จะสร้างการขอ HTTP และไปยัง IP address ที่ชี้โดย URL เมื่อ HTTP daemon ในเครื่องแม่ข่ายปลายทางได้รับการขอ และประมวลผลเรียบร้อย จะส่งไฟล์ที่ขอกลับมา
HTTP เวอร์ชันล่าสุด คือ HTTP 1.1

Hot link คืออะไร


Hot link คือข้อความหรือรูปภาพที่สามารถเชื่อมต่อไปยังเว็บเพจหรือที่อยู่ URL อื่นๆ บนอินเทอร์เน็ตได้, วิธีพิเศษที่โปรแกรมสองโปรแกรมใช้ข้อมูลร่วมกันเมื่อแก้ไขข้อมูลในโปรแกรมหนึ่งก็จะไปเปลี่ยนข้อมูลเดียวกันในอีกโปรแกรมหนึ่งทันที เช่น เอกสารในเวิร์ดโปรเซสเซอร์ที่มีข้อมูลของสเปรดชีต ถ้าเราแก้ไขข้อมูลสเปรดชีตโดยใช้โปรแกรมสเปรดชีต ข้อมูลในเอกสารเวิร์ดโปรเซสเซอร์จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

Software คือ

Software (ซอฟต์แวร์) เป็นองค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ที่เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้โดยตรง เป็นชุดคำสั่งหรือโปรแกรม (Program) ที่เขียนขึ้นเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ซอฟต์แวร์จึงเป็นเสมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้งานกับคอมพิวเตอร์ให้สามารถเข้าใจกันได้

Software

ซอฟต์แวร์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ซอฟต์แวร์ระบบ
2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์

1. ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software หรือ Operating Software : OS)
          หมายถึงโปรแกรมที่ทำหน้าที่ประสานการทำงาน ติดต่อการทำงาน ระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์ประยุกต์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้ Software ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำหน้าที่ในการจัดการ ระบบ ดูแลรักษาเครื่อง การแปลภาษาระดับต่ำหรือระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องเพื่อให้เครื่องอ่านได้เข้าใจ

ซอฟต์แวร์ระบบ แบ่งได้ 4 ชนิด ดังนี้
          1.1 ระบบปฏิบัติการ (Operating System) หมายถึง ชุดโปรแกรมที่อยู่ระหว่างฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ประยุกต์มีหน้าที่ควบคุมการปฏิบัติงานของฮาร์ดแวร์ และสนับสนุนคำสั่งสำหรับควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ให้กับซอฟต์แวร์ประยุกต์ เช่น Windows XP , DOS , Linux , Mac OS X
          1.2 ยูทิลิตี้ (Utility Program) เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่เพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้เครื่องทำงานง่ายขึ้นเร็วขึ้น และการป้องกันการรบกวนโดยโปรแกรมที่ไม่พึงประสงค์ เช่น โปรแกรมป้องกันไวรัส , โปรแกรม Defrag เพื่อจัดเรียงข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ใหม่ ทำให้การอ่านข้อมูลเร็วขึ้น , โปรแกรมยกเลิกการติดตั้งโปรแกรม Uninstall Program , โปรแกรมบีบอัดไฟล์ (WinZip-WinRAR)เพื่อทำให้ไฟล์มีขนาดเล็กลง ,โปรแกรมการสำรองข้อมูล(Backup Data)
          1.3 ดีไวซ์ไดเวอร์ (Device Driver หรือ Driver) เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ติดต่อกับคอมพิวเตอร์ในส่วนการรับเข้าและการส่งออก ของแต่ละอุปกรณ์ เช่น เมื่อเราซื้อกล้องวีดีโอมาใหม่และต้องการนำเอาวีดีโอที่ถ่ายเสร็จ นำไปตัดต่อที่คอมพิวเตอร์ ก็ต้องติดตั้งไดเวอร์ หรือโปรแกรมที่ติดมากับกล้อง ทำการติดตั้งที่เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์รู้จักและสามารถรับข้อมูลเข้าและส่งข้อมูลออกได้
          โดยปกติโปรแกรม windows ที่เรามีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีไดเวอร์ติดตั้งมาให้แล้วโดยเราไม่ต้องทำการติดตั้งไดเวอร์เอง เช่น ไดเวอร์สำหรับเมาส์ ,ไดเวอร์คีย์บอร์ด, ไดเวอร์สำหรับการใช้ USB Port , ไดเวอร์เครื่องพิมพ์ แต่ถ้าอุปกรณ์ใดไม่สามารถใช้งานร่วมกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ก็ต้องหาไดเวอร์มาติดตั้งเพื่อให้สามารถใช้งานได้ ซึ่งต้องเป็นไดเวอร์ที่พัฒนามาของแต่ละบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์
          1.4 ตัวแปลภาษา (Language Translator) คือโปรแกรมที่ทำหน้าที่แปลภาษาระดับต่ำหรือระดับสูงเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจว่าต้องการให้ทำอะไร เช่น เมื่อโปรแกรมเมอร์ได้เขียนโปรแกรมเสร็จโดยเขียนในลักษณะภาษาระดับต่ำ (Assenbly) หรือภาษาระดับสูง (โปรแกรมภาษา C) เสร็จก็ต้องมีตัวแปลภาษาเพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์อ่านเข้าใจ เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์จะเข้าใจเฉพาะตัวเลข 0 กับ ตัวเลข 1 เท่านั้น

ตัวแปลภาษาแบ่งได้ 3 ตัวแปล ดังนี้
          - แอสเซมเบลอ (Assembler) เป็นตัวแปลภาษาระดับต่ำให้เป็นภาษาเครื่อง เช่นแปลจากภาษา Assembly เป็นภาษาเครื่อง
          - อินเทอพรีเตอร์ (Interpreter) เป็นตัวแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องโดยแปลทีละบรรทัดคำสั่ง เช่น โปรแกรมเมอร์ใช้โปรแกรมภาษา Basic ในการพัฒนาโปรแกรมแล้วแปลเป็นภาษาเครื่องทีละบรรทัดคำสั่ง
          - คอมไพเลอร์ (Compiler) เป็นตัวแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่องโดยแปลทั้งโปรแกรมทีเดียว เช่น โปรแกรมเมอร์ใช้โปรแกรมภาษา C ในการพัฒนาโปรแกรมแล้วแปลเป็นภาษา เครื่องโดยแปลทั้งโปรแกรมทีเดียว ซึ่งจะเป็นที่นิยมมากกว่า ข้อ 2

2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์
          ซอฟต์แวร์ประยุกต์เป็นโปรแกรมที่ใช้สำหรับทำงานต่าง ตามที่ต้องการ เช่น การทำงานเอกสาร งานกราฟิก งานนำเสนอ หรือเป็น Software สำหรับงานเฉพาะด้าน เช่น โปรแกรมงานทะเบียน โปรแกรมการให้บริการเว็บ โปรแกรมงานด้านธนาคาร

ซอฟต์แวร์ประยุกต์แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้
          2.1 ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน เป็น Software ที่ใช้สำหรับงานเฉพาะด้าน เช่น Software สำหรับงานธนาคารการฝากถอนเงิน Software สำหรับงานทะเบียนนักเรียน ซอฟต์แวร์คิดภาษี ซอฟต์แวร์การให้บริการร้าน Seven ฯลฯ
          2.2 ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับงานทั่วไป โดยในซอฟต์แวร์ 1 ตัวมีความสามารถในการทำงานได้หลายอย่าง เช่น ซอฟต์แวร์งานด้านเอกสาร (Microsoft Word ) มีความสามารถในการสร้างงานเอกสารต่าง ๆ จัดทำเอกสารรายงาน จัดทำแผ่นพับ จัดทำหนังสือเวียน จัดทำสื่อสิ่งพิมพ์

การใช้งานทั่วไปก็จะมี Software ต่างๆ เช่น
          - ซอฟต์แวร์งานด้านเอกสาร
          - ซอฟต์แวร์งานนำเสนอ
          - ซอฟต์แวร์ตารางคำนวณ
          - ซอฟต์แวร์งานกราฟิก
          - ซอฟต์แวร์สื่อสิ่งพิมพ์ ฯลฯ

ที่มา http://www.com5dow.com