cache memory เป็นหน่วยความจำแบบ Random Access ซึ่ง ไมโครโพรเซสเซอร์สามารถเข้าถึงได้เร็วกว่าการเข้าถึง RAM ปกติ ในการประมวลผลข้อมูลไมโครโพรเซสเซอร์ จะมองหาข้อมูลใน cache memory ก่อนเพื่อทำให้การประมวลผลเร็วขึ้น
cache memory ในบางครั้งมีการอธิบายว่าเป็นระดับที่ใกล้และเข้าถึงได้ง่าย โดยไมโครโพรเซสเซอร์ ในส่วน L1 และ L2 cache อยู่บนไมโครโพรเซสเซอร์ โดย L1 และ L2 มักจะเป็น static RAM (SRAM) โดย RAM หลักเป็น dynamic RAM (DRAM) โดย SRAM จะไม่มีการ refresh ตัวเองเหมือน DRAM และมีราคาแพงกว่า สำหรับขนาดที่นิยมของ SRAM คือ 1048 kilobyte (1KB) ส่วน DRAM มีขนาดตั้งแต่ 4 megabytes จนถึง 32 megabytes
สำหรับ RAM อาจจะมองในฐานะที่เป็น cache ของหน่วยความจำสำหรับฮาร์ดดิสก์ เพราะข้อมูลใน RAM เป็นการเรียกจากฮาร์ดดิสก์รวมถึงระบบปฏิบัติการและโปรแกรมต่าง ๆ RAM สามารถเก็บพื้นที่พิเศษที่เรียกว่า disk cache ซึ่งเก็บข้อมูลที่เพิ่งเรียกใช้จากฮาร์ดดิสก์
ส่งงานครับ
วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557
SRAM คืออะไร
SRAM (static RAM) เป็นหน่วยความจำชั่วคราวที่รักษาบิตข้อมูลในหน่วยความจำ ตราบที่ยังมีพลังงานจ่ายให้ ซึ่งแตกต่างจาก dynamic RAM (DRAM) ที่เก็บบิตในเซลล์ที่ประกอบด้วยคาปาซิเตอร์ และตัวต้านทาน SRAM จะไม่มีการ refresh เป็นระยะ ๆ SRAM ให้การเข้าเก็บข้อมูลเร็วกว่าและแพงกว่า DRAM และ SRAM จะใช้เป็น cache memory ของคอมพิวเตอร์ และเป็นส่วนของ random access memory digital-to-analog converter (RAMDAC) บนการ์ดวิดีโอ
DRAM คืออะไร
Dynamic random access memory (DRAM) เป็นหน่วยความจำชั่วคราว (RAM) ที่ใช้โดยทั่วไปสำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเวิร์กสเตชัน หน่วยความจำเป็น เครือข่ายของการชาร์จไฟฟ้าที่จุดซึ่งเป็นที่เก็บของคอมพิวเตอร์ โดยมีการเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็วในรูปแบบ 0 และ 1 random access มีความหมายว่าโพรเซสเซอร์ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล สามารถเข้าถึงส่วนต่าง ๆ ของหน่วยความจำ หรือที่เก็บข้อมูลโดยตรงแทนที่การเข้าถึงแบบอนุกรมจากจุดเริ่มต้น DRAM แตกต่างจาก Static RAM (SRAM) โดย DRAM ต้องการให้เซลล์มีการ refresh หรือให้มีการชาร์จไฟฟ้าใหม่ ในช่วงเวลาที่เป็น milliseconds ในขณะที่ Static RAM ไม่จำเป็นต้อง refresh เพราะการทำงานอยู่บนหลักการของการย้ายกระแส เมื่อมีการสับเปลี่ยนในหนึ่งของสองทิศทางแทนการชาร์จประจุของเซลล์ Static RAM โดยทั่วไปใช้สำหรับ cache memory ซึ่งเข้าถึงได้เร็วกว่า DRAM
DRAM เก็บแต่ละบิตในเซลล์ที่ประกอบด้วยคาปาซิเตอร์ และตัวต้านทาน โดยคาปาซิเตอร์ มีแนวโน้ม สูญเสียการชาร์จ อย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงต้องการให้ชาร์จใหม่ RAM ยังมีอีกหลายประเภท เช่น extended data output RAM (EDO RAM) และ synchronous dynamic random access memory (SDRAM)
Boot คืออะไร
Boot หรือการบู๊ตเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นการโหลดระบบปฏิบัติการเข้าสู่หน่วยความจำหลักของคอมพิวเตอร์ หรือหน่วยความจำชั่วคราว (RAM) เมื่อมีการโหลดระบบปฏิบัติการ (บนเครื่องคอมพิวเตอร์จะเห็นการเริ่ม Windows หรือ Mac บนจอภาพ) แสดงว่าพร้อมให้ผู้ใช้เรียกใช้โปรแกรมประยุกต์ บางครั้งจะพบคำสั่ง "reboot" ในระบบปฏิบัติการ ซึ่งมีความหมายว่ามีการโหลดระบบปฏิบัติการใหม่ (การใช้คำสั่งนี้ที่คุ้นเคยกัน ให้กดปุ่ม (Alt, Ctrl และ Delete พร้อมกัน)
ในคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ (รวมถึงเครื่องเมนเฟรม) มีคำที่เทียบได้กับ "boot" คือ "Initial Program Load (IPL)" และสำหรับ "reboot" คือ "re-IPL" นอกจากที่ boot สามารถใช้เป็นคำนามเหมือนกับ การบู๊ตระบบ (system boot) คำนี้มีที่มาจากคำว่า "bootstrap " ซึ่งหมายถึงหว่งหนังขนาดเล็กด้านหลังของรองเท้าบู๊ตที่ให้ดึง เพื่อดึงรองเท้าขึ้น การบู๊ตระบบปฏิบัติการโดยการโหลดโปรแกรมขนาดเล็กเข้าไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ และให้โปรแกรมควบคุมการโหลดระบบปฏิบัติการต่อไป
การบู๊ต หรือโหลดระบบปฏิบัติการมีความแตกต่างกันมากกว่าการติดตั้ง ซึ่งการกระทำเพียงครั้งเดียว เมื่อมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการ จะมีขึ้นตอนในการเลือกวิธีการคอนฟิก เมื่อสิ้นสุดการติดตั้งระบบปฏิบัติการบนฮาร์ดดิสก์พร้อมที่จะบู๊ต (โหลด) เข้าสู่หน่วยความจำชั่วคราว ซึ่งเป็นที่เก็บที่ใกล้กับไมโครโพรเซสเซอร์ และทำงานเร็วกว่าฮาร์ดดิสก์ โดยปกติ ภายหลักการติดตั้งระบบปฏิบัติการแล้วเปิดเครื่องใหม่ ระบบปฏิบัติการจะบู๊ตอย่างอัตโนมัติ ถ้าการใช้งานมีปัญหาหน่วยความจำไม่พอ หรือระบบปฏิบัติการ หรือโปรแกรมประยุกต์มีความผิดพลาด จะมีข้อความแสดงความผิดพลาดหรือจอภาพอยู่นิ่ง ในกรณีเหล่านี้จำเป็นต้อง "reboot " ระบบปฏิบัติการ
ขั้นตอนการ Boot
หมายเหตุ ขึ้นตอนเหล่านี้อาจจะแตกต่างจาก MAC, UNIX, OS/2 หรือ ระบบปฏิบัติการอื่น ๆ เมื่อมีการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติจะได้รับการตั้งค่าในการบู๊ต (โหลดไปที่ RAM) โดยอัตโนมัติ ตามขึ้นตอนต่อไปนี้
1. เมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ BIOS (Basic Input/Output System) ที่อยู่บนชิป ROM (read-only menoy) จะ"ถูกปลุก" และทำงาน โดย BIOS จะพร้อมในการโหลด เพราะว่าอยู่ชิป ROM ซึ่งต่างจาก RAM เนื่องจากข้อมูลใน ROM ไม่มีการลบเมื่อมีการปิดเครื่อง
2. BIOS ในขึ้นตอนที่ 1 จะทำการตรวจสอบ แบบ power-on self test (POST) เพื่อทำให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ทั้งหมดทำงานได้ จากนั้นโปรกแกรมบู๊ตของ BIOS จะมองหาโปรแกรมบู๊ตพิเศษที่ทำหน้าที่โหลดระบบปฏิบัติการไปที่ ฮาร์ดดิสก์
3. ขั้นแรก มองหาในไดรฟ์ A เป็นสถานที่ที่ระบุที่เก็บไฟล์บู๊ตของระบบปฏิบัติการ (ถ้าระบบปฏิบัติการเป็น MS-DOS จะหาไฟล์ 2 ไฟล์ ชื่อ IO.SYS แลt MSDOS.SYS) ถ้ามีดิสก์ในไดรฟ์ A แต่ไม่ใช้แผ่น system สำหรับการใช้งาน BIOS จะส่งข้อความบอกว่าไดรฟ์ A ไม่มีแผ่น system ถ้าไดรฟ์ A ไม่มีดิสก์ BIOS จะมองหาไฟล์ system จากตำแหน่งที่ระบุในฮาร์ดดิสก์
4. เมื่อระบุไดรฟ์ที่เก็บไฟล์บู๊ตแล้ว BIOS จะมองต่อไปที่ sector แรก (พื้นที่ 512-byte) และสำเนาสารสนเทศจากตัว BIOS ไปยังตำแหน่งที่ระบุใน RAM สารสนเทศนี้เรียกว่า boot record หรือ Mastor Boot Record
5. จากนั้นจะโหลด boot record ไปที่ตำหน่งที่ระบุใน RAM (address 7C00)
6. boot record เก็บโปรแกรมที่ BIOS ส่งให้เพื่อให้ boot record ควบคุมคอมพิวเตอร์ต่อไป
7. boot record จะโหลดไฟล์เริ่มต้น (เช่น ระบบ DOS คือ IO.SYS) ไปที่ RAM จากดิสก์หรือฮาร์ดดิสก์
8. ไฟล์เริ่มต้น (เช่น IO.SYS ซึ่งรวมถึงโปรแกรม SYSINIT) จะโหลดส่วนที่เหลือของระบบปฏิบัติการไปที่ RAM (จากจุดนี้ boot record ไม่มีความจำเป็นแล้ว และสามารถแทนที่ด้วยข้อมูลอื่น)
9. ไฟล์เริ่มต้น (เช่น SYSINIT) จะโหลดไฟล์ระบบ (เช่น MSDOS.SYS) ซึ่งสามารถทำงานกับ BIOS ได้
10. ไฟล์ของระบบปฏิบัติการ ไฟล์หนึ่งที่โหลดเข้ามาเป็นชุดแรก คือ ไฟล์คอนฟิกระบบ (สำหรับ DOS เรียกว่า CONFIG.SYS) สารสนเทศในไฟล์คอนฟิกจะบอกให ้โหลดโปรแกรมที่เจาะจงในชุดไฟล์ ของระบบปฏิบัติการที่จำเป็นต้องโหลด (เช่น ไฟล์ driver ของอุปกรณ์)
11. ไฟล์พิเศษอีกไฟล์ที่ทำหน้าที่บอกถึงโปรแกรมประยุกต ์หรือคำสั่งที่ผู้ใช้ต้องการใช้ ที่รวมอยู่ขั้นตอนการบู๊ตใน DOS เรียกไฟล์ที่ว่า AUTOEXEC.BAT ใน Windows เรียกว่า WIN.INI
12. หลังจากไฟล์ทั้งหมดระบบปฏิบัติการได้รับการโหลดแล้ว ระบบปฏิบัติการจะทำหน้าที่ควบคุมคอมพิวเตอร์ และทำงานตามการขอเริ่มต้น จากนั้นจะรอคำสั่งจากผู้ใช้
2. BIOS ในขึ้นตอนที่ 1 จะทำการตรวจสอบ แบบ power-on self test (POST) เพื่อทำให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ทั้งหมดทำงานได้ จากนั้นโปรกแกรมบู๊ตของ BIOS จะมองหาโปรแกรมบู๊ตพิเศษที่ทำหน้าที่โหลดระบบปฏิบัติการไปที่ ฮาร์ดดิสก์
3. ขั้นแรก มองหาในไดรฟ์ A เป็นสถานที่ที่ระบุที่เก็บไฟล์บู๊ตของระบบปฏิบัติการ (ถ้าระบบปฏิบัติการเป็น MS-DOS จะหาไฟล์ 2 ไฟล์ ชื่อ IO.SYS แลt MSDOS.SYS) ถ้ามีดิสก์ในไดรฟ์ A แต่ไม่ใช้แผ่น system สำหรับการใช้งาน BIOS จะส่งข้อความบอกว่าไดรฟ์ A ไม่มีแผ่น system ถ้าไดรฟ์ A ไม่มีดิสก์ BIOS จะมองหาไฟล์ system จากตำแหน่งที่ระบุในฮาร์ดดิสก์
4. เมื่อระบุไดรฟ์ที่เก็บไฟล์บู๊ตแล้ว BIOS จะมองต่อไปที่ sector แรก (พื้นที่ 512-byte) และสำเนาสารสนเทศจากตัว BIOS ไปยังตำแหน่งที่ระบุใน RAM สารสนเทศนี้เรียกว่า boot record หรือ Mastor Boot Record
5. จากนั้นจะโหลด boot record ไปที่ตำหน่งที่ระบุใน RAM (address 7C00)
6. boot record เก็บโปรแกรมที่ BIOS ส่งให้เพื่อให้ boot record ควบคุมคอมพิวเตอร์ต่อไป
7. boot record จะโหลดไฟล์เริ่มต้น (เช่น ระบบ DOS คือ IO.SYS) ไปที่ RAM จากดิสก์หรือฮาร์ดดิสก์
8. ไฟล์เริ่มต้น (เช่น IO.SYS ซึ่งรวมถึงโปรแกรม SYSINIT) จะโหลดส่วนที่เหลือของระบบปฏิบัติการไปที่ RAM (จากจุดนี้ boot record ไม่มีความจำเป็นแล้ว และสามารถแทนที่ด้วยข้อมูลอื่น)
9. ไฟล์เริ่มต้น (เช่น SYSINIT) จะโหลดไฟล์ระบบ (เช่น MSDOS.SYS) ซึ่งสามารถทำงานกับ BIOS ได้
10. ไฟล์ของระบบปฏิบัติการ ไฟล์หนึ่งที่โหลดเข้ามาเป็นชุดแรก คือ ไฟล์คอนฟิกระบบ (สำหรับ DOS เรียกว่า CONFIG.SYS) สารสนเทศในไฟล์คอนฟิกจะบอกให ้โหลดโปรแกรมที่เจาะจงในชุดไฟล์ ของระบบปฏิบัติการที่จำเป็นต้องโหลด (เช่น ไฟล์ driver ของอุปกรณ์)
11. ไฟล์พิเศษอีกไฟล์ที่ทำหน้าที่บอกถึงโปรแกรมประยุกต ์หรือคำสั่งที่ผู้ใช้ต้องการใช้ ที่รวมอยู่ขั้นตอนการบู๊ตใน DOS เรียกไฟล์ที่ว่า AUTOEXEC.BAT ใน Windows เรียกว่า WIN.INI
12. หลังจากไฟล์ทั้งหมดระบบปฏิบัติการได้รับการโหลดแล้ว ระบบปฏิบัติการจะทำหน้าที่ควบคุมคอมพิวเตอร์ และทำงานตามการขอเริ่มต้น จากนั้นจะรอคำสั่งจากผู้ใช้
Closed architecture คืออะไร
สถาปัตยกรรมแบบปิด, การออกแบบที่ไม่ให้ผู้ใช้เพิ่มเติมได้อย่างง่ายดาย มักจะพูดถึงคอมพิวเตอร์แมคอินทอชสมัยก่อนๆ ที่ไม่ได้ให้มีการเพิ่มเติมระบบด้วยแผ่นวงจรเพิ่มได้อย่างง่ายเลย, คอมพิวเตอร์ที่ออกมาแล้วไม่ได้มีการเผยแพร่หรือบอกกล่าวรายละเอียดภายในที่ทำให้บริษัทคอมพิวเตอร์รายอื่นๆ จัดหาผลิตภัณฑ์ที่มาทำงานกับคอมพิวเตอร์ดังกล่าวได้ จึงต้องใช้อุปกรณ์ประกอบที่ทำมาจากบริษัทเดียวกัน ซึ่งมักจะมีราคาแพงเพราะมีการผลิตน้อยและไม่มีการแข่งขัน
Architecture คืออะไร
ในเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์และเครือข่าย สถาปัตยากรรม (architecture) เป็นคำที่ประยุกต์ทั้งกระบวนการและผลลัพธ์ของการคิดและการระบุโครงสร้างทั้ง หมด ส่วนประกอบทางตรรกะ และความสัมพันธ์ภายในทางตรรกะของคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการ เครือข่าย หรือแนวคิดอื่น สถาปัตยกรรมสามารถเป็นแบบจำลองอ้างอิง เช่น แบบจำลองอ้างอิง Open Systems Interconnection (OSI) รวมถึง แบบจำลองสำหรับสถาปัตยกรรมสินค้าเฉพาะหรือสามารถเป็นสถาปัตยกรรมสินค้าเฉพาะ เช่น สำหรับไมโครโพรเซสเซอร์ Intel Pentium หรือสำหรับระบบปฏิบัติการ OS/390 ของ IBM
สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นห้าส่วนประกอบพื้นฐานคือ นำเข้า/ส่งออก (input/output), การจัดเก็บ, การสื่อสาร, การควบคุม และการประมวลผล ในทางปฏิบัติ แต่ส่วนของส่วนประกอบนี้ (บางครั้งเรียกว่า ระบบย่อย) บางครั้งถูกกล่าวว่ามีสถาปัตยกรรม ตามปกติ ให้บริบทในการใช้และความหมาย
โดยการเปรียบเทียบ คำว่า ออกแบบ คิดถึงความหมายโดยนัยว่ามีขอบเขต (scope) น้อยกว่าสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมคือ การออกแบบ แต่การออกแบบส่วนมากไม่ใช่สถาปัตยกรรม หนึ่ง component หรือฟังก์ชันใหม่มีการออกแบบที่พอดีภายในสถาปัตยกรรมโดยรวม
คำคล้ายกัน framework สามารถคิดถึงส่วนโครงสร้างของสถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมคอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกเป็นห้าส่วนประกอบพื้นฐานคือ นำเข้า/ส่งออก (input/output), การจัดเก็บ, การสื่อสาร, การควบคุม และการประมวลผล ในทางปฏิบัติ แต่ส่วนของส่วนประกอบนี้ (บางครั้งเรียกว่า ระบบย่อย) บางครั้งถูกกล่าวว่ามีสถาปัตยกรรม ตามปกติ ให้บริบทในการใช้และความหมาย
โดยการเปรียบเทียบ คำว่า ออกแบบ คิดถึงความหมายโดยนัยว่ามีขอบเขต (scope) น้อยกว่าสถาปัตยกรรม สถาปัตยกรรมคือ การออกแบบ แต่การออกแบบส่วนมากไม่ใช่สถาปัตยกรรม หนึ่ง component หรือฟังก์ชันใหม่มีการออกแบบที่พอดีภายในสถาปัตยกรรมโดยรวม
คำคล้ายกัน framework สามารถคิดถึงส่วนโครงสร้างของสถาปัตยกรรม
DSS คืออะไร
DSS (Decision support system) เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประยุกต์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล และนำเสนอเพื่อให้ผู้ใช้สามารถตัดสินใจทางธุรกิจง่ายขึ้น สิ่งนี้เป็น สารสนเทศประยุกต์ (ซึ่งต้องแยกจากการปฏิบัติประยุกต์ที่รวบรวมข้อมูลของการปฏิบัติงานปกติ) แบบแผนของสารสนเทศ ที่เป็นการประยุกต์สนับสนุนการตัดสินใจ ซึ่งต้องรวมรวมและนำเสนอ คือ
- การเปรียบเทียบการขายระหว่างสัปดาห์
- การคาดการณ์รายรับ ตามข้อสมมติของการขายผลิตภัณฑ์ใหม่
- ผลต่อเนื่องจากทางเลือกในการตัดสินใจต่าง ๆ โดยประสบการณ์ในอดีตเป็นแนวในการอธิบาย Decision support system อาจจะเสนอสารสนเทศเชิงภูมิศาสตร์ และอาจจะรวมถึงระบบผู้เชี่ยวชาญ (Export system) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) โดยมีจุดมุ่งหมายสำหรับผู้บริหารธุรกิจ หรือกลุ่มพนักงานที่มีระดับความรู้
- การเปรียบเทียบการขายระหว่างสัปดาห์
- การคาดการณ์รายรับ ตามข้อสมมติของการขายผลิตภัณฑ์ใหม่
- ผลต่อเนื่องจากทางเลือกในการตัดสินใจต่าง ๆ โดยประสบการณ์ในอดีตเป็นแนวในการอธิบาย Decision support system อาจจะเสนอสารสนเทศเชิงภูมิศาสตร์ และอาจจะรวมถึงระบบผู้เชี่ยวชาญ (Export system) หรือ ปัญญาประดิษฐ์ (artificial intelligence) โดยมีจุดมุ่งหมายสำหรับผู้บริหารธุรกิจ หรือกลุ่มพนักงานที่มีระดับความรู้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)